แนวโน้มราคาทอง เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจ เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการป้องกันความเสี่ยงและรักษามูลค่าเงินทุน ในช่วงที่ผ่านมา ราคาทองคำมีความผันผวนอย่างมาก โดยได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ทั้งเศรษฐกิจโลก การเมือง และนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำ
- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ: เมื่อดอลลาร์แข็งค่า ราคาทองคำมักปรับตัวลดลง เนื่องจากทองคำถูกกำหนดราคาเป็นดอลลาร์ ทำให้นักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่นต้องจ่ายมากขึ้นในการซื้อทองคำ
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Bond Yield): การเพิ่มขึ้นของ Bond Yield ทำให้ต้นทุนโอกาสในการถือครองทองคำสูงขึ้น เนื่องจากทองคำไม่มีดอกเบี้ยหรือผลตอบแทน ทำให้นักลงทุนอาจหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
- สถานการณ์ทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์: ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง เช่น ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ส่งผลให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
- นโยบายการเงินของ Fed: การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed มีผลโดยตรงต่อราคาทองคำ หาก Fed ส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ย ราคาทองคำมักปรับตัวขึ้น เนื่องจากต้นทุนการถือครองทองคำลดลง
แนวโน้มราคาทอง
ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2567 ราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ (All-time high) ที่ระดับ 2,740 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากความตึงเครียดในตะวันออกกลางและความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น ราคาทองคำปรับตัวลดลง เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าและ Bond Yield พุ่งขึ้น ทำให้นักลงทุนบางส่วนเทขายทองคำเพื่อทำกำไร
กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุนที่ถือครองทองคำแท่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการปรับลดการถือครองทองคำลงเล็กน้อยในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2567 โดยขายทองคำออกประมาณ 1.44 ตัน
สรุป
ราคาทองคำในปัจจุบันยังคงผันผวน โดยได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ทั้งค่าเงินดอลลาร์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร สถานการณ์ทางการเมือง และนโยบายการเงินของ Fed นักลงทุนควรติดตามข่าวสารและปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุนในทองคำ